Toyota Offroad Banpho Club ยินดีต้อนรับผองเพื่อนทุกท่านครับ...และ พบกับพวกเราได้บน Facebook ครับ

ความรู้เรื่องยางรถขับ 4x4

เป็นความรู้ดีๆที่นำมามอบให้ครับ


ความรู้เรื่องยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ
 
ส่วนใหญ่ รถขับเคลื่อน 4 ล้อ ไม่ว่าค่ายไหนก็ตาม ครั้งแรกที่ออกจากโชว์รูม เป็นรถป้ายแดง ถ้าไม่มีการตกลง ระหว่างคนซื้อกับคนขายก่อนออกรถ ...รถทุกคันจะมียางติดรถทั้ง 4 เส้น และยางอะไหล่ เป็นยางแบบ H/T   และมักมีคำถามว่า ถ้าอยากเพิ่มสมรรถณะของรถ ประเภทนี้ให้มีมากกว่าเดิม สิ่งแรกที่ควรทำคือเปลี่ยนยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน

แล้วทีนี้ อาจจะมีคำถามต่อว่าใช้งานอะไร แบบไหน...(คนซื้อรถ 4x4 คงไม่ซื้อมาส่งแก๊ส มังครับท่าน...555)....ในที่นี้จะกล่าวถึงการใช้งาน แบบพวกเราๆ คือออฟโรด แบบท่องเที่ยวไปในเส้นทางทุรกันดาร....การใช้ยางถูกประเภทจึงเป็นเรื่องสำคัญ
.......ยางของรถตระกูลนี้ มีหลายแบบ หลายขนาดให้เลือก แต่หลักๆที่ใช้งานกันได้ดี มีอยู่2 ประเภทคือ  1.ยางที่เราเรียกกันสั้นๆว่า ยาง ออล(บางท่านเรียกว่ายางเอาดีไม่ได้สักอย่าง555) ชื่อเต็มๆในภาษา อังกฤษเรียกว่า All-Terrain
      2.ยางมัด (Mud-Terrain)
 .....ส่วนยางที่ เกจิทั้งหลายใช้ๆกัน ขออนุญาติ กล่าวถึงสั้นๆ ได้แก่ยาง ตระกูลดอกใหญ่พิเศษ(ใกล้เคียงกับยางรถไถนา) พวกSimax(เป็นชื่อยี่ห้อ) จริงๆก็น่าจะจัดอยู่ในตระกูล มัด
      ยาง All-Terrain
                เป็นยางที่มีดอกหยาบปานกลาง โดยมันถูกออกแบบมาให้ใช้งานแบบเอนกประสงค์ แปลว่า ไปมันทุกที่ที่มีทาง....แต่จะตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ไม่รู้....วิ่งทางลูกรัง มีหลุมมีบ่อก็ได้(ทางแบบออฟโรดที่ไม่หนักมาก...อันนี้ชั่งยากว่าหนักกี่กิโล..ต้องอาศัยประสบการณ์ อย่างเดียว) วิ่งทางเรียบแบบทางด่วนก็ได้ ไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวน จะเปิดเพลงเบา พร้อมกับมีเสียงกระซิบข้างหู ก็ได้ยิน แต่ถ้าเจอทางโคลนเละๆก็จอด(ยกเว้นมีอาวุธอย่างอื่น เช่นมีวิ้นส์ ช่วย....อันนี้ไม่นับ..แฮ่ๆๆ)  เพราะว่าดอกยางไม่หยาบมาก คุณสมบัติการสลัดโคลนออก จึงไม่ค่อยดีนัก แปลว่าสลัดไม่ออก ดินหรือโคลนก็จะอุดตันทำให้ยางไม่มีดอกยางคอยเกาะพื้นถนน รถก็เลยเคลื่อนที่ไม่ได้ เห็นกันบ่อยคืออาการปั่นล้อฟรี(โคลนบางที่ ขนาดไซแมกยังไม่รอดเหมือนกัน....)
      ยาง Mud-Terrain
                 เป็นยางที่ออกแบบให้ใช้งานในเส้นทางที่มีโคลนหรือดินเละๆ ดอกยางจะหยาบ ห่างๆกันเพื่อทำให้การสลัดโคลนออกจากดอกยางได้ดีขึ้น ขณะที่ล้อหมุน(อืม....ถ้าล้อไม่หมุนก็ไม่รู้มันจะสลัดยังไงเหมือนกันเนอะ...) เมื่อมันถูกออกแบบให้วิ่งในทางทุรกันดาร เป็นหลัก บนทางเรียบ จึงเป็นข้อด้อยของยาง ในเรื่องการยึดเกาะถนน....ดังนั้นเมื่อฝนตก ถนนลื่น ท่านจะเห็นรถออฟโรดขับบนทางด่วนหรือทางราดยางแบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาก ไม่กล้าห้าวกันเท่าไหร่ เพราะ ความเป็นไปได้ที่จะลงไปใช้วิ้นส์ ตรงข้างทางให้ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆจากบรรดารถเก๋ง มีอยู่สูง รวมทั้ง หากใช้ความเร็วสูงบนทางเรียบ สิ่งที่ตามมาคือเสียง จะดังเป็นพิเศษ (ยางมัดยังเป็นรอง พวกตะขาบกับจังเกิ้ล เยอะ...)
       ต่อมาก็ถึงการเลือกขนาดของวงล้อ ควรเลือกแบบพอดีๆ อย่าให้กว้าง หรือแคบเกินไป เช่น ในกรณีที่ใส่ยางที่มีขนาดวงล้อแคบเกินไป เมื่อเราขับรถลงไปในร่องน้ำจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แก้มยางก็จะสีกับดิน หรือหินอย่างรุนแรง ทำให้ยางหลุดขอบได้...ต้องเสียเวลาแก้ไขกันอีกการเดินทางก็จะสะดุดหยุดลง อีกปัญหาของวงล้อของยางเล็กเกินไปคือ แรงดันที่ขอบยางอาจไม่มากพอที่จะทำให้แนบสนิทกับวงล้อได้
       ส่วนในการที่เราใช้วงล้อกว้างเกินไปก็จะเกิดผลเสียคือ
.....จะมีดิน เศษหิน  ไม้ อาจเข้าไปติดอยู่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวงล้อกับยาง ทำให้ลมในยางซึมออกมาบริเวณขอบยาง
     มาดูกันเรื่องแรงดันลมยาง....โดยปกติแรงดันลมยางจะระบุอยู่ในคู่มือการใช้รถอยู่แล้ว แต่ในการที่เราเข้าสู่เส้นทางทุรกันดาร การปรับลมยางโดยการเติมหรือปล่อยลมบ่อยๆคงทำได้ลำบาก ทางที่ดีควรเติมลมยางในระดับกลางๆ ไม่มากไม่น้อยเกินไป โดยเฉพาะรถขนาด ไม่เกิน 1.5 ตัน จะอยู่ระหว่าง 26-30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ยางก็จะไม่ค่อยหลุดขอบง่ายๆ ถ้าเติมลมมากเกินไป ระบบช่วงล่างรถและลูกปืนล้อจะสึกหรอเร็ว เพราะยางแข็งเกินไป แก้มยางไม่สามารถรับแรงกระแทกได้เลย
....การเตรียมรถก่อนเข้าสู่เส้นทางทุรกันดารจึงไม่ควรละเลยการตรวจลมยางด้วย
    นอกจากนี้ ควรมีอุปกรณ์ปะยาง ติดไปด้วย เพราะยางอาจรั่วจากวิ่งไปเหยียบหนามไผ่ รากไม้แหลมๆ หรือหินคม จริงๆแล้วถ้าเกิด

 ....................................................................................................................................................................................................................


เหตุแบบนี้ ถ้ามียางอะไหล่ เปลี่ยนก็จะสะดวกกว่า ดังนั้นอย่าลืมตรวจยางอะไหล่ด้วยว่าพร้อมใช้งาน แค่ไหน บางคน ยางอะไหล่เป็นยางเก่า ติดไว้หลายปีแล้วไม่เคยใช้ ไม่เคยตรวจ พอถึงเวลาใช้จริงๆกลับใช้ไม่ได้ แบบนี้เท่ากับว่า เราแบกน้ำหนักฟรีๆมาหลายปี หรือบางท่านยางอะไหล่หาย ยังไม่ได้หามาแทน ก็ควรหามาทดแทนน่าจะดีกว่า
     หากเกิดปัญหาบริเวณแก้มยาง เช่นโดนหินบาด ตอไม้ทิ่มทะลุ ไม่ควรซ่อมกลับมาใช้ใหม่ ควรเปลี่ยน และทิ้งไปเลยจะดีกว่า เพราะโครงสร้างยางถูกเปลี่ยนไปแล้วการนำกลับมาใช้ใหม่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอๆ หรือแม้แต่การชำรุดของยางจากด้านหน้ายาง ถ้าถึงโครงสร้างยางแล้ว ก็ไม่ควรกลับมาใช้อีกเช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันครับ
    ยางเป็นอุปกรณ์ที่ควรเอาใจใส่ดูแลอย่างดี เพราะเป็นสิ่งเดียวของรถที่สัมผัสกับพื้นถนน ไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นเช่นไร การขับขี่ในเส้นทางทุรกันดารจึงไม่ควรจะประมาท หรือใจร้อนเกินไปจนไม่ได้สนใจว่ายางที่กดทับลงบนพื้นถนนนั้นมีอะไรอยู่บ้าง เพราะบางครั้ง สิ่งที่ยางต้องเจอคือหินคม หนามไผ่ ตอไม้แหลมๆ ซึ่งอาจทำอันตรายกับยางของเรา หากเกิดขึ้น การเดินทางของเราอาจไม่บรรลุวัตถุประสงค์ก็เป็นได้....
อันี้ไปค้นมาให้ ยาวหน่อย แต่อ่านสนุกได้ความรู้ดีครับ
    รายละเอียดบนแก้มยาง

บางอย่างรู้กันผิดๆ บางอย่างยังไม่รู้

อย่าเพิ่งคิดว่าบทความนี้เป็นเรื่องเก่าๆ ที่รู้แล้ว เพราะบางอย่างก็รู้มาผิดๆ และอีกหลายอย่างอาจยังไม่รู้
ยางเส้นนี้กว้างเท่าไร ? 185 ใช่ความกว้างของหน้ายางจริงไหม ? เมื่อไรถึงเรียกว่าดอกหมด ? เดาเอาหรือมีตัวบอก ? ผลิตเมื่อไร เก่าเก็บหรือไม่ ? ถามที่ร้านก็ไม่มีใครบอก !

การเลือกซื้อยางรถยนต์มิได้สำคัญแค่ยี่ห้อ, รุ่น, ขนาด และราคาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องสนใจ และมักปรากฏอยู่บนแก้มยาง

ยางรถยนต์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคู่มือประกอบการใช้งานแถมมาให้แบบตัวรถยนต์ โดยอาจมีรายละเอียดอยู่บนห่อบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่ากับบนแก้มยาง ที่มีเกือบทุกอย่างที่ควรทราบเกี่ยวกับยางเส้นนั้น พอจะเอายางมาใส่กับกระทะล้อก็แกะห่อทิ้งไป

รายละเอียดบนแก้มยางมีมากมายจนลายตา และไม่ได้สำคัญแค่ขนาด ความเร็วสูงสุด และน้ำหนักบรรทุกที่ยางเส้นนั้นรับได้เท่านั้น ยังมีรายละเอียดอื่นที่น่าสนใจอีกด้วย แต่ก็มิได้สำคัญไปทุกตัวเลขทุกตัวอักษร จึงควรเลือกอ่านและเลือกทำความเข้าใจ

ขนาด

รหัสบอกขนาด เช่น 195/60R15 87V

195 คือ ความกว้างของยาง ไม่ใช่ความกว้างของหน้ายางตามที่เข้าใจกัน ! (หน่วยเป็นมิลลิเมตร)

60 คือ ซีรีส์ หรือความสูงของแก้มยางทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เห็นเมื่อใส่กับกระทะล้อแล้ว แต่รวมขอบด้านในที่แนบกับขอบกระทะล้ออยู่ด้วย เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จากความกว้างของยาง หรือตัวเลขกลุ่มแรก (ซีรีส์ระบุเป็นเปอร์เซนต์ ไม่ใช่มิลลิเมตร)

R คือ ตัวย่อประเภทของยาง R-RADIAL ยางเสริมใยเหล็ก 

15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว) ซึ่งต้องพอดีกับยาง (ส่วนความกว้างนั้นพอจะยืดหยุ่นกันได้)

87 คือ รหัสการรับน้ำหนัก ต้องดูในตารางเปรียบเทียบ เดาไม่ได้ มีหน่วยเป็นกิโลกรัม

V คือ ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้นรองรับได้ ต้องดูในตารางเปรียบเทียบ เดาไม่ได้ พบอักษร S T U H V Z R บ่อย มีหน่วยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง


195 จากตัวอย่าง ไม่ใช่ความกว้างของหน้ายาง

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ตัวเลขความกว้างของยาง (ในตัวอย่างนี้ คือ 195) ซึ่งเป็นตัวปัญหา เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความกว้างของหน้ายาง ที่สัมผัสพื้นระหว่างซ้ายสุด-ขวาสุด ซึ่งในหลักการจริงนั้น ไม่ใช่ !

เพราะตัวเลขนั้นเป็นความกว้างของยางในส่วนที่กว้างที่สุด ระหว่างด้านขวา-ซ้าย ซึ่งอยู่บริเวณช่วงป่องสุดของแก้มยาง เมื่อยางเส้นนั้นถูกนำไปใส่ในกระทะล้อที่มีความกว้างเหมาะสม และสูบลมแล้ว

ความกว้างของยางที่ระบุไว้ วัดจากบริเวณจุดที่ป่องที่สุดของแก้มยาง (รวมตัวอักษรตัวเลขนูนๆ ในจุดที่วัดด้วย-ถ้ามี) ไม่ใช่บริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้น ส่วนหน่วยความกว้างเป็นมิลลิเมตรนั้นถูกต้องแล้ว

อย่าสับสนระหว่างความกว้างของยาง กับความกว้างของหน้ายาง !

โดยเฉพาะยางสำหรับรถยนต์ทั่วไป ตัวเลขที่ระบุบนแก้มยาง คือ ความกว้างของยาง ซึ่งมักมีหน้ายางที่สัมผัสพื้นจริงๆ น้อยกว่าตัวเลขที่ระบุไว้ ประมาณ 15-35 มิลลิเมตร แตกต่างกันในยางแต่ละรุ่นและยี่ห้อ (สามารถทดลองวัดได้ด้วยไม้บรรทัด) จึงมีส่วนทำให้ยางขนาดความกว้างดียวกัน มีประสิทธิภาพการเกาะถนนต่างกัน เพราะตัวความกว้างของหน้ายางจริงๆ แตกต่างกัน

จากการทดลองวัดจริง พบว่ายางขนาดความกว้างเดียวกัน (ตามที่ระบุไว้) ในยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรุ่นกัน มีความกว้างของหน้ายางต่างกันถึง 5-10 มิลลิเมตร หรือในยางต่างขนาดกัน-ต่างยี่ห้อกัน เมื่อลองวัดดูแล้วกลับพบว่า ยางที่ระบุเลขความกว้างไว้ 195 มิลลิเมตร (ในขนาด 195/60/14) กลับมีหน้าสัมผัสพื้นพอๆ กับยางอีกยี่ห้อที่ระบุตัวเลขความกว้างไว้แค่ 185 มิลลิเมตร (ในขนาด 185/65/14) คือ หน้ายางสัมผัสพื้นประมาณ 160 มิลลิเมตรใกล้เคียงกัน

ดังนั้นถ้าสงสัยความกว้างของหน้ายางเส้นใด ก็สามารถใช้ตลับเมตรหรือไม่บรรทัดวัดได้เองอย่างง่ายๆ ถึงแม้จะไม่เป๊ะนัก แต่ก็ยังดีกว่าเดา เพราะตัวเลขที่ระบุไว้ ไม่ใช่ตัวเลขความกว้างของหน้ายางที่จะสัมผัสพื้น

เท่าที่ทีมงานลองทดลองวัดจริง พบว่ายางรถยนต์ไม่ว่ายี่ห้อใดๆ ในรุ่นที่เน้นสมรรถนะ (ไม่เน้นความเงียบนัก) ราคาแพง แก้มเตี้ย ที่ระบุความกว้างของยางไว้เท่ากัน มักมีหน้าสัมผัสพื้นจริง มากกว่ายางขนาดเดียวกัน ซึ่งเป็นรุ่นที่เน้นความนุ่มนวล หรือราคาถูกกว่า

.........................................................................................................................................................................................................................


ยางที่ใช้งานทั่วไปมักมีความกว้างของหน้ายางที่สัมผัสพื้น น้อยกว่าตัวเลขที่ระบุไว้มาก แต่ถ้าเป็นยางประสิทธิภาพสูง มักมีหน้ายางที่สัมผัสพื้นใกล้เคียงกับตัวเลขที่ระบุไว้มากกว่า ส่วนยางรถแข่งจะวัดและแสดงผลออกมา เป็นความกว้างของหน้ายางที่สัมผัสพื้น

ความกว้างของกระทะล้อ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าสัมผัสจริงของยาง เพราะถ้าใช้กระทะล้อแคบกว่าความเหมาะสมของความกว้างของยาง ขอบยางที่ต้องแนบกับขอบกระทะล้อก็ต้องถูกบีบเข้า แก้มที่ถูกบีบเข้าจะทำให้หน้ายางด้านริมทั้งสองถูกยกขึ้น ส่งผลโดยตรงให้หน้าสัมผัสจริงแคบลงไปอีก

นอกจากนี้ยังไม่ควรรีบสรุปด้วยตัวเลขว่า ความกว้างของยางแค่ไหนจะแคบหรือกว้างไป เช่น ดูยางกว้างขนาด 185 มิลลิเมตร แล้วรีบสรุปว่าจะลื่น ต้องรีบเปลี่ยนออกหลังจากซื้อรถยนต์คันนั้นมาใช้ ทั้งที่ยังไม่ได้ทดลองขับเลย

เพราะรถยนต์แต่ละคันควรจะใช้ยางกว้างเท่าไร ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการขับด้วย ถ้าขับไม่เต็มสมรรถนะของรถยนต์ ยางกว้างขนาดมาตรฐานที่ติดมามักเพียงพออยู่แล้ว

การเพิ่มความกว้างของยางมากกว่าขนาดมาตรฐาน มีข้อดี คือ เพิ่มการเกาะถนน แต่ถ้าเพิ่มความกว้างทั้งที่ยางขนาดเดิมยังเกาะถนนเพียงพอ ก็ถือว่าไร้ประโยชน์ และมีข้อเสียมากมาย เช่น ราคายางแพงขึ้น รถยนต์มีอัตราเร่งแย่ลง ช่วงล่างพังเร็วขึ้น กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น (แต่ก็มิได้แตกต่างกันมากมายนัก ถ้าเพิ่มความกว้างขึ้นไม่มาก และไม่ใช่ช่วงล่างต้องพังในทันที)


ซีรีส์ ต้องคำนวณก่อน

แค่ตัวเลขซีรีส์บนแก้มยาง เช่น 70, 65, 60, 55, 50 ฯลฯ ไม่สามารถสรุปได้ว่ายางที่มีตัวเลขซีรีส์น้อยต้องมีแก้มเตี้ยกว่าเสมอไป เพราะนั่นเป็นแค่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่มิลลิเมตรตรงตัว จึงต้องขึ้นอยู่กับความกว้างของยางด้วย

เช่น ยาง 60 ซีรีส์ ขนาด 205/60R14 มีแก้มสูง 205 x (60/100) = 123 มิลลิเมตร

ยาง 65 ซีรีส์ ขนาด 185/65R14 มีแก้มสูง 185 x (65/100) = 120.25 มิลลิเมตร

จากตัวอย่างพบว่า ยาง 60 ซีรีส์กลับมีแก้มสูงกว่ายาง 65 ซีรีส์

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ความสูงของแก้มยางที่คำนวณออกมาได้ เป็นเพียงแก้มยางด้านนอกที่สายตามองเห็น หลังจากใส่กับกระทะล้อแล้ว ซึ่งไม่ใช่ !

ซีรีส์ คือ ความสูงของแก้มยางทั้งหมด ตั้งแต่ขอบริมหน้ายางถึงขอบในสุด ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เหลือให้เห็นเมื่อใส่กับกระทะล้อแล้ว แต่รวมขอบด้านในสุดที่แนบกับขอบกระทะล้อด้วย

เส้นรอบวง

ไม่ว่าจะเปลี่ยนยางเป็นขนาดเท่าไร ใช้กระทะล้อขนาดเท่าไร ควรรักษาเส้นรอบวงของยางเส้นใหม่ ให้ใกล้เคียงกับยางขนาด
 


มาตรฐานให้มากที่สุด ไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยากก็ได้ ให้เอายางใส่กระทะล้อแล้วสูบลม มาเปรียบเทียบกันเลย โดยอย่าลืมเผื่อดอกยางที่สึกต่างกันด้วย

แต่ถ้าอยากคำนวณหาความสูงหรือเส้นผ่าศูนย์กลางของยางก็ไม่ยาก ให้หาความสูงของแก้มยางออกมาเป็นมิลลิเมตรก่อน นำไปคูณ 2 (เพราะมีแก้มยาง 2 ข้าง) แล้วบวกกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อที่คูณด้วย 25.4 เพื่อแปลงเป็นมิลลิเมตรไว้ก่อนแล้ว เมื่อบวกกันทั้งหมดจะได้หน่วยเป็นมิลลิเมตร

ขนาดกระทะล้อกับเส้นรอบวงของยาง

เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ ไม่ได้วัดถึงริมนอกสุดของกระทะล้อ แต่วัดจากขอบกระทะส่วนที่แนบกับขอบยางด้านใน

มีคำถามแบบลอยๆ อยู่เสมอว่า ใส่ยางขอบ 16-17 นิ้ว แทนขอบ 15 นิ้วของเดิมจะติดบังโคลนไหม หรือยางจะสูงขึ้นไหม เพราะดูเผินๆ จากตัวเลข 15 16 กับ 17 เห็นตัวเลขมาก ก็เลยรีบสรุปว่ายางขอบ 17 นิ้ว ต้องเป็นวงใหญ่กว่าขอบ 15 หรือ 16 นิ้ว

การถามเช่นนั้นไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะตัวเลขที่บอกเป็นขนาดกระทะล้อสำหรับใส่ยางเส้นนั้นเท่านั้น วงนอกสุดหรือเส้นรอบวงของยาง ต้องขึ้นอยู่กับความสูงของแก้มยาง ซึ่งขึ้นอยู่กับความกว้างและซีรีส์ของยางโดยตรง

ยางขอบ 16 นิ้ว แก้มสูงๆ อาจมีความสูงโดยรวมและเส้นรอบวงมากกว่ายางแก้มเตี้ยขอบ 17 นิ้วก็เป็นได้

ผลิตเมื่อไร ? เลี่ยงยางเก่าเก็บ

รหัสบนแก้มยางที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ หรือบางคนสนใจและพยายามจะทราบ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากบอก คือ วันที่ยางเส้นนั้นผลิต

เพราะผู้ขายหรือผู้ผลิต กลัวจะขายยางเก่าเก็บไม่ได้ แต่ผู้ผลิตก็ต้องระบุลงไป เพื่อไม่ให้ผิดกฏของหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เพียงแต่ถ้าไม่ถามก็จะไม่บอก

ยางรถยนต์สามารถหมดสภาพได้ แม้เป็นยางใหม่ที่เก็บไว้เฉยๆ ก็เริ่มเสื่อมสภาพลงตั้งแต่ผลิตเสร็จ แล้วลดอายุการใช้งานลงเรื่อยๆ เมื่อเก็บไว้หลายปี

แม้การเก็บยางอย่างถูกวิธีจะชะลอการหมดอายุลงได้ และไม่หมดอายุเร็วเท่ากับการใช้งานบนถนนจริง แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยางเก่าเก็บ ซึ่งผู้ผลิตหลายรายบอกว่า 2-3 ปีก็ยังใช้ได้ แต่ในแง่ของผู้บริโภคแล้ว ยิ่งใหม่เท่าไรก็ยิ่งดี

ถ้าเป็นยางนำเข้าหรือยางผลิตในประเทศ ที่มีทั้งการจำหน่ายในประเทศและการส่งออก จะมีตัวเลข 3-4 หลักอยู่ในวงรี บอกสัปดาห์และเลขตัวท้ายๆ ของปี ค.ศ. ที่ผลิตยางเส้นนั้นไว้แบบลบไม่ได้ เพราะเป็นเนื้อยางที่อยู่บนแก้มยาง หล่อออกมาจากแม่พิมพ์เลย และเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ใช้ทั่วโลก

ตัวเลขนั้นอยู่ในวงรีแนวโค้งเดียวกับแก้มยาง อาจอยู่ใกล้กับตัวอักษร DOT และอาจมีเพียงข้างเดียวในยาง 1 เส้น

.............................................................................................................................................................................................................................


ยางรถยนต์ที่ผลิตก่อนปี 2000 จะเป็นเลข 3 หลัก เช่น 449 หรือ 328 โดยเลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ที่ผลิต และตัวเลขท้ายสุด คือ ตัวเลขสุดท้ายของปี ค.ศ. ที่ผลิต เช่น 127 ก็เป็นยางที่ผลิตสัปดาห์ที่ 12 ของปี 1997

พอมาถึงปี 2000 และตั้งแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป มีการเปลี่ยนมาเป็นเลข 4 หลัก เพื่อป้องกันความสับสนกับยางที่ผลิตก่อนปี 2000 และค้างสต็อกอยู่

ตัวอย่าง 1300, 3500, 4100 เลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ที่ผลิต และ 2 ตัวท้าย คือ เลข 2 ตัวสุดท้ายของปี ค.ศ. ที่ผลิต เช่น 3600 เป็นยางที่ผลิตสัปดาห์ที่ 36 ของปี 2000


ส่วนยางบางยี่ห้อที่ผลิตจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทย เช่น บริดสโตนบางรุ่น ในเนื้อยางบริเวณแก้มก็มีรหัสระบุถึงวันที่ผลิต แต่ไม่เหมือนกับข้างต้น เพราะเป็นรหัสเฉพาะ เช่น L0Y3A ต้องเปิดตารางเทียบ ซึ่งผู้ผลิตไม่เปิดเผย

ในเมื่อผู้ซื้ออ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยมีการทดแทนด้วยการปั๊มหมึกสีอ่อนไว้บนแก้มยาง เป็นรูปวงกลมขนาดเล็กแบ่งครึ่งบนล่าง ครึ่งบนบอกเดือน และปี พ.ศ. เช่น 11 43 ส่วนครึ่งล่างไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นตัวเลขรหัสประจำตัวของผู้ตรวจยางเส้นนั้น บางร้านพอยางเก่าเก็บ ก็จะลบหมึกวงกลมนี้ออก เพื่อไม่ให้ทราบวันผลิตจริง ถ้าเจออย่างนั้น ควรหลีกเลี่ยง

ถ้าเป็นยางนำเข้า หากยังไม่แกะออกจากห่อ ที่ตัวห่อหรือสติกเกอร์ที่ติดไว้ อาจมีรายละเอียดวันที่ผลิตระบุไว้ด้วย ถ้าหาที่แก้มยางไม่เจอ ให้ลองหาที่ตัวห่อก็อาจเจอ

ดอกยาง ไม่ได้มีไว้ให้เกาะ แต่มีไว้รีดน้ำ
ยังมีความเข้าใจผิดและพูดกันผิดๆ ต่อเนื่องกันในวงกว้าง ว่าดอกยางหรือยางที่มีร่องๆ เป็นลวดลาย มีไว้ให้ยางเกาะถนน หรือถ้ายางดอกหมดแล้วจะลื่น ซึ่งตามหลักการจริงนั้น ผิด !

ตามความหมายของคนทั่วไป ยางที่ยังมีร่องอยู่บนหน้ายาง หมายถึง ยางมีดอก แต่ถ้าหน้ายางเรียบ ไม่มีร่องบนหน้ายาง ทั้งจากการสึกหรอหรือยางสำหรับรถแข่งทางเรียบ หมายถึง ยางดอกหมด ยางหัวโล้น ยางโล้น หรือยางไม่มีดอก

จริงๆ แล้วตัวแท่งๆ บนหน้ายาง เรียกว่า 'ดอกยาง'ส่วนช่องว่างระหว่างดอกเรียกว่า 'ร่องยาง'

ประเด็นสำคัญที่บอกว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คือ การคิดว่ายางโล้น ยางไม่มีดอก ไม่เกาะถนน เพราะการยึดเกาะของยางกับถนนเกิดจากหน้ายางที่กดแนบลงกับพื้น ยิ่งมีหน้าสัมผัสมาก ก็ยิ่งเกาะมากขึ้น ร่องยางซึ่งแทรกอยู่ระหว่างดอกยาง ก็มีแค่อากาศ ไม่ได้มีเนื้อยางกดลงบนพื้นแต่อย่างไร

ดังนั้นถ้าหน้ายางมีความกว้างเท่ากัน ยางไม่มีดอก ไม่มีร่อง หรือยางหัวโล้น ย่อมมีพื้นที่สัมผัสถนนมากกว่ายางที่มีร่องระหว่างดอกยาง

แล้วทำไมยางรถยนต์ทั่วไป จึงมีดอกหรือมีร่อง ทั้งที่ผลิตยากกว่าแบบเรียบ และต้องเสียหน้าสัมผัสกับพื้นถนนตรงช่วงที่เป็นร่องไป


เพราะยางหน้าเรียบเกาะถนนดีบนถนนเรียบแห้งเท่านั้น แต่ถ้าถนนเปียกจะลื่นมาก เพราะหน้ายางที่แบนกว้าง จะไม่สามารถกดรีดน้ำออกจากหน้ายาง เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นตามปกติได้ น้ำเลยกลายเป็นชั้นฟิล์มคั่นอยู่ระหว่างยางกับผิวถนน ก็เลยลื่นหรือมีอาการเหิรน้ำ

หน้ายางที่กว้างประมาณสิบเซ็นติเมตรขึ้นไป เมื่อกดลงบนพื้นถนนที่เปียกน้ำ ย่อมไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้าสัมผัสได้ เสมือนเอาฝ่ามือที่นิ้วมือชิดกัน กดแรงๆ ลงบนพื้นที่เปียกน้ำ

การแบ่งหน้าสัมผัสออกเป็นบล็อกเป็นดอกด้วยร่องยาง ทำให้การกดรีดน้ำออกจากหน้ายางทำได้ดีขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการรีดน้ำออกจากพื้นที่ย่อยๆ ที่แคบลง และมีร่องลึกอยู่รายรอบ เพื่อให้น้ำที่ถูกรีดแทรกตัวเข้าไปได้ และถ้าร่องต่อกันก็จะช่วยให้สลัดน้ำออกด้านข้างได้ดีขึ้นไปอีก เปรียบเทียบได้กับการกางนิ้วมือออก แล้วกดมือลงบนพื้นเปียกนั่นเอง


ดอกหรือร่องยางจึงลดอาการลื่นของยาง เมื่อต้องขับรถยนต์ลุยฝนหรือบนถนนลื่น โดยต้องยอมเสียหน้าสัมผัสพื้นถนนบางส่วนให้เป็นร่องยางแทน

ดังนั้นการบอกลอยๆ ว่า ยางดอกหมด ยางหัวโล้น แล้วจะลื่นนั้น ผิด

เพราะที่ถูกต้อง น่าจะบอกว่า ยางดอกหมด ยางหัวโล้น จะลื่นบนถนนเปียก ส่วนบนถนนแห้งสนิทนั้น เกาะถนนดีกว่ายางมีดอก (ทั้งยางรถแข่งและรถยนต์ทั่วไป)

แล้วทำไมเมื่อดอกหมดแล้วต้องรีบเปลี่ยนยางชุดใหม่ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน ?

เพราะรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป ผู้ขับคงไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะเจอถนนเปียกเมื่อไร ขับไปแล้วอาจเจอโดยไม่ได้ตั้งตัว เพราะไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก หรือพื้นถนนเปียกจากน้ำรดต้นไม้

ถ้ายางไม่มีร่อง หรือมีแต่ไม่ลึกพอให้น้ำเข้าไปแทรกอยู่ได้ ก็จะลื่นไถลได้ง่ายมาก ส่วนรถแข่งทางเรียบนั้น ถ้าฝนตกหรือผิวสนามลื่น ก็มักรู้ตัวก่อนและค่อยๆ ประคองรถเข้าพิต เพื่อเปลี่ยนเป็นยางมีดอก แล้วออกไปแข่งต่อ

ปัจจุบันมีผู้ผลิตยางบางราย เริ่มผลิตยางรุ่นที่เน้นสำหรับการขับหรือแข่งบนทางเรียบแบบสมัครเล่น โดยออกแบบให้มีหน้าสัมผัสกับถนนมากๆ เป็นหลัก คือ มีร่อง แต่น้อยและแคบ และอยู่ห่างกันมาก เพื่อให้สามารถขับบนถนนเปียกได้บ้าง ไม่ถึงกับลื่นไถล แต่ก็ไม่สามารถรีดน้ำได้ดีเท่ากับยางทั่วไปที่มีร่องรีดน้ำมากกว่า

เมื่อไรดอกยางหมด

เมื่อดอกยางจุดที่เตี้ยที่สุด มีร่องลึกน้อยกว่า 1.5-2 มิลลิเมตร ซึ่งตัวเลข 1.5-2 มิลลิเมตรนี้ รวบรวมมาจากคำแนะนำของผู้ผลิตยางหลายยี่ห้อ จึงไม่สามารถสรุปเป็นตัวเลขตายตัวได้เป๊ะๆ
.......................................................................................................................................................................................................................


ในความเป็นจริง ก็ไม่ค่อยมีใครหยิบไม้บรรทัดมาวัดหรือหาอะไรมาแหย่เพื่อวัดความลึกของร่องยาง เพราะไม่สะดวก และจริงๆ แล้วก็ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการวัด ดังนั้นส่วนใหญ่จึงดูด้วยสายตา และประเมินเอาว่าดอกยางหมดหรือยัง

ในขั้นตอนการออกแบบและผลิต ผู้ผลิตยางได้อำนวยความสะดวกในการดูว่ายางดอกหมด หรือร่องตื้นเกินกว่าที่จะใช้งานบนถนนได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือวัด

โดยในร่องยางบางจุดจะนูนขึ้นจากปกติประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร แต่มิได้นูนขึ้นมาจนเท่ากับหน้ายางตอนที่ยังใหม่ๆ สมมุติตอนใหม่ๆ ร่องลึก 8 มิลลิเมตรเท่ากันตลอด ก็จะมีในบางจุดที่ร่องลึกแค่ 6-6.5 มิลลิเมตร เสมือนมีเนินเตี้ยๆ อยู่ก้นหลุม ซึ่งเมื่อดอกยางสึกมากเข้า ก็จะเรียบเท่ากับยอดเนินเตี้ยๆ ที่ก้นหลุมนั้น

เป็นการบอกว่าดอกยางเตี้ยเกินไป หรือร่องโดยรวมตื้นเกินไปแล้ว หรือดูง่ายๆ สำหรับดอกยางที่มีลวดลายของร่องเป็นแนวตรงโดยรอบ ปกติแล้วร่องจะต่อกันตลอดแนว แต่พอดอกยางสึกลงไปจนบางส่วนเท่ากับเนินนั้น จนทำให้ร่องยางไม่ต่อกัน แสดงว่ายางเหลือร่องรีดน้ำเตี้ยเกินไปแล้ว

การหาว่าจุดไหนของร่องยาง มีเนินเตี้ยๆ อยู่กันหลุมหรือที่ฐานของร่อง ไม่ต้องเดาหรือเสียเวลานาน เพราะมีจุดสังเกตได้จากขอบของแก้มยางบริเวณใกล้ๆ กับขอบริมของหน้ายาง จะมีตัวอักษร TWI หรือสัญลักษณ์รูป 3 เหลี่ยมขนาดเล็ก ชี้เข้าหาหน้ายาง


โดยปกติแล้วจะมี 6 จุดในแก้มยางแต่ละด้าน แบ่งห่างเท่าๆ กัน ในมุม 60 องศาของวงกลม แต่ในยางบางยี่ห้ออาจห่างไม่เท่ากัน หรือไม่ได้มี 6 จุด แต่ก็มีหลายจุดในแต่ละด้าน ยางในบางยี่ห้ออย่างมิชลิน ก็ใช้สัญลักษณ์ตัวบีเบนดั้มขนาดเล็ก เป็นจุดสังเกตแทนรูป 3 เหลี่ยม

สัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่ได้มีไว้บอกการสึก หรือดูว่าเมื่อไรสัญลักษณ์นี้ลบแล้วแสดงว่ายางสึกแต่อย่างไร เพราะอยู่บริเวณแก้มยางซึ่งไม่สัมผัสพื้นจึงไม่สึก (แต่ถ้าเข้าโค้งแรงๆ จนขอบของแก้มยางเอนแนบลงกับพื้นถนน สัญลักษณ์ก็อาจสึกได้)

เมื่อเจอสัญลักษณ์ข้างต้นที่ริมนอกของแก้มยางแล้ว ก็ให้มองในแนวเดียวกันไล่ขึ้นไปที่หน้ายาง และมองลึกลงไปที่ร่องยาง ก็จะพบกับเนินเตี้ยๆ ที่ร่องยาง เมื่อไรที่ดอกสึกไปถึงยอดเนินนั้น แสดงว่าดอกหมดหรือร่องตื้นและไม่ควรใช้ต่อ (ไม่ใช่ต้องสึกจนหมดเนินหรือหมดร่อง)

สาเหตุที่ผู้ผลิตแนะนำให้ใช้จนเหลือแค่ร่องตื้นๆ ไม่ใช่หมดร่อง ทั้งที่ดูแล้วร่องนั้นน่าจะยังพอช่วยในการรีดน้ำได้
เพราะจริงๆ แล้ว ร่องตื้นๆ นั้น มีช่องว่างให้น้ำที่ถูกรีดไล่ออกจากหน้ายางแทรกตัวอยู่ได้น้อยมาก ส่งผลให้หน้ายางไม่สามารถรีดน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

เรื่องความสูงของเนินขนาดเล็กในร่องยาง ว่าแต่ละยี่ห้อสูงเท่าไร ? พบว่าในแต่ละยี่ห้ออาจไม่เท่ากัน แต่อยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกัน คือ 1.5-2 มิลลิเมตร ซึ่งผู้ใช้ก็ไม่ต้องดิ้นรนหาตัวเลขนั้นว่าเป็นเท่าไร

เอาเป็นว่าผู้ผลิตได้ทดสอบหาความเหมาะสมมาแล้วว่า ยางรุ่นนั้น ควรเหลือดอกยางสูงไม่ต่ำกว่าเท่าไรแล้วยังใช้งานได้ดี และออกแบบทำเนินให้สูงตามนั้น ผู้ใช้ก็แค่ใช้จนดอกสึกลงไปเท่ากับยอดเนินก็ควรเปลี่ยนยางชุดใหม่ 

...........................................................................................................................................................................................................................


ความรู้หลายอย่าง ขาดคนชี้นำ บางอย่างแค่เสียเวลาอ่านอย่างละเอียด เช่น บนแก้มยาง หลายอย่างรู้กันผิดๆ ต่อเนื่องกันมา แต่ก็ยังไม่สายที่จะรู้เพิ่มหรือลบความรู้ผิดๆ ออกไป


สัญลักษณ์ ความเร็ว(กม./ชม.)
L 120
M 130
N 140
P 150
Q 160
R 170
S 180
T 190
U 200
H 210

อย่างไรก็ตาม ยางรถยนต์ก็สามารถหมดอายุได้แม้ดอกยังไม่หมด เช่น ยางเก่าเก็บ รถยนต์ใช้งานไม่มาก จอดมากกว่าขับ ทำให้หน้ายางไม่ค่อยสึก แต่ยางก็หมดอายุได้ จากการหมดสภาพทั้งของโครงสร้างภายใน และความแข็งของเนื้อยาง เพราะโดยพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ยางทุกประเภท จะแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนและเวลาที่ผ่านไป เนื้อยางที่แข็ง ย่อมมีแรงเสียดทานน้อยลงหรือลื่นขึ้นนั่นเอง

โดยเฉลี่ยแล้ว แม้ดอกยางยังไม่หมด ก็ไม่ควรใช้งานเกิน 3 ปี ถ้าจะใช้เกิน ควรพิจารณาความแข็ง การแตกลายงา หรือการแตกปริของเนื้อยางอย่างละเอียด

รายละเอียดอื่นๆ บนแก้มยาง

ถ้าสังเกตกันอย่างละเอียด จะพบว่ามีระบุไว้มากมายจนลายตา บางอย่างอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย เช่น
- ประเทศผู้ผลิต
- น้ำหนักบรรทุกสูงสุดเป็นหน่วยน้ำหนักเลย ไม่ต้องเปิดตารางเทียบ
- แรงดันลมสูงสุดที่ยางรับได้
- ROTATION หรือลูกศรระบุทิศทางการหมุนที่ควรใส่ให้ถูกด้าน
- รหัสแม่พิมพ์ TREAD WEAR TRACTION TEMPERATURE บอกประสิทธิภาพด้านต่างๆ แบบกว้างๆ
- ตรา 4 เหลี่ยมตะแคง มาตรฐานอุตสาหกรรมของไทย (มอก.) ซึ่งมักมีปีที่ได้รับรองระบุไว้ควบคู่ด้วย ระวังจะสับสนกับปีที่ผลิตยาง
- TUBELESS ไม่ต้องใช้ยางใน
- จำนวนชั้นของใยเหล็กหรือผ้าใบ 

VR เกินกว่า 210
V 240
W 270
Y 300
ZR เกินกว่า 240
อันี้จาก มิชชิลิน ครับ
.......ความรู้เรื่องยางรถยนต์


1.1 Speed Symbol (ระบุความเร็วใช้งานสูงสุดของยาง) 
สัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ระบุถึงความเร็วใช้งานสูงสุดที่ยางเส้นนั้นรับได้ โดยสัมพันธ์กับความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุก ที่ระบุไว้เป็นสัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษเช่นกัน 
สัญลักษณ์  ความเร็ว(กม./ชม.) 
L  120 
M  130 
N  140 
P  150 
Q  160 
R  170 
S  180 
T  190 
U  200 
H  210 
VR  เกินกว่า 210 
V  240 
W  270 
Y  300 
ZR  เกินกว่า 240 
 ZR+ และตามด้วย Speed symbol อื่นหลัง ดัชนีย์รับน้ำหนัก (เช่น 245/40ZR17 86W) หมายความว่าใช้ความเร็วสูงเกิน 240km/h ได้ชั่วคราวแต่ไม่เกิน speed limit ของ speed symbol ที่ระบุตามหลัง เช่นกรณีนี้ W คือ 270 km/h 
1.2 Load Index (ระบุน้ำหนักบรรทุกสูงสุด) 
สัญลักษณ์เป็นตัวเลขระบุถึง ความสามารถในการรับน้ำหนักสูงสุดของยางเส้นนั้น ที่ความเร็วระบุไว้ตาม Speed Symbol ของยาง 
LI  กก.  LI  กก.  LI  กก. 
60  250  80  450  100  800 
61  257  81  462  101  825 
62  265  82  475  102  850 
63  272  83  487  103  875 
64  280  84  500  104  900  
 

65  290  85  515  105  925 
66  300  86  530  106  950 
67  307  87  545  107  975 
68  315  88  560  108  1000 
69  325  89  580  109  1030 
70  335  90  600  110  1060 
71  345  91  615  111  1090 
72  355  92  630  112  1120 
73  365  93  650  113  1150 
74  375  94  670  114  1180 
75  387  95  690  115  1215 
76  400  96  710  116  1250 
77  412  97  730  117  1285 
78  425  98  750  118  1320 
79  437  99  775  119   
1.3 ความกว้างแก้มยาง 
คือความกว้างของแก้มยางหน่วยเป็นมิลิเมตร (มิใช่หน้ายางที่สัมผัสพื้นถนน) เมื่อยางนั้นใส่กับขนาดความกว้างของกระทะล้อที่แนะนำ เมื่อยางใส่กับกระทะล้อที่กว้างขึ้นตัวเลขจะมากขึ้น ถ้าใส่กับกระทะล้อที่แคบลงตัวเลขจะน้อยลง โดยมีค่าประมาณ +- 5 มม. ต่อขนาดกระทะล้อที่เปลี่ยนแปลง +- 0.5 นิ้ว ยางต่างรุ่น หรือ ยี่ห้อที่ระบุความกว้างของแก้มยางเท่ากันอาจมีความกว้างหน้ายางส่วนสัมผัสถนนไม่เท่ากัน 
1.4 อัตราส่วนความสูงของยาง 
อัตราส่วน % ความสูงของยางต่อความกว้างของแก้มยาง ในกรณีตัวอย่างนี้คือ 65% ของ 195 คือประมาณ 127 มม. ฉนั้นเส้นผ่าศูนย์กลาง (ความสูงรวมของยาง) คือเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ (ในกรณีตัวอย่างนี้คือ 15" หรือ 381 มม.) บวกความสูงของยางทั้ง 2 ขอบของกระทะล้อเท่ากับประมาณ (254มม. +381มม.) = 635มม. ฉนั้นทุกครั้ง เมื่อต้องการเปลี่ยนขนาดยางและล้อ มาตรฐานที่ติดรถต้องให้ได้ค่าความสูงรวมของยางใกล้เคียงของเดิมให้มากที่สุด 
1.5 วันผลิต 
จะระบุอยู่หลังอักษร DOT ( US. Department of Transportation) เป็นตัวเลข 4 หลัก 
2 หลักแรกระบุ เลข 2 ตัวท้ายของปีที่ผลิต กรณีนี้ 01 หมายถึงปี 2001 
2 หลักสุดท้ายระบุถึงสัปดาห์ที่ผลิตในปีนั้น กรณีนี้ 05 หมายถึง สับดาห์ที่ 5 ของปี 2001 
0105 หมายถึงยางที่ผลิตในสับดาห์ที่ 5 ของปี 2001 
ผู้ผลิตบางรายยกตัวอย่างเช่น BRIDGESTONE ไม่ระบุ วันผลิตตามมาตรฐาน DOT แต่จะระบุโดยใช้สัญลักษณ์พิเศษ ซึ่งถือเป็นความลับของบริษัทฯ แต่สามารถดูได้จาก stamp ระบุเดือนและปีผลิตบนแก้มยาง 
1.6 UTQG code 
ยางที่จำหน่ายใน สหรัฐเอมริกา และมีขนาดล้อตั้งแต่ 13 นิ้ว ขึ้นไปต้องระบุสมรรถณะของยางใน 3 หัวข้อคือ 
1. TREADWEAR 
2. TRACTION 
3. TEMPERATURE 
UTQG ย่อมาจาก "Uniform Tire Quality Grading" ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดย FMVSS (Federal Motor Vehicle Safety Standares) ซึ่งเป็น
หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา 
Treadwear 
ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี เป็นการวัดการทนการสึกของดอกกยาง โดยทำการทดสอบ ณ เส้นทางทดสอบของรัฐบาลในรัฐ TEXAS ยาวทั้งสิ้น 400 ไมล์ ภายใต้สภาพแวดล้อมควบคุม โดยมี index มาตรฐานคือ 100 และเพิ่มขึ้นหรือลดลงครั้งละ 20 ยางที่มี tread wear 200 หมายความว่าสึกช้าเป็น 2 เท่าของยางที่มี tread wear index 100 
Traction 
มี 3 ระดับคือ A, B, C โดย A ถือว่าดีที่สุด เป็นการวัดความสามารถในการหยุดบนถนนเปียกทางตรง โดยทำการวัดขณะล้อเบรกจนล็อค บนสภาพพื้นผิวที่ถูกจัดทำโดยรัฐบาลบนถนนผิว concrete และ asphalt การทดสอบนี้ไม่เกี่ยวกับการเกาะถนน หรือความสามารถในการเข้าโค้งของยางนั้นๆ 
Temperature 
มี 3 ระดับคือ A, B, C โดย A ถือว่าดีที่สุด วัดความสามารถในการป้องกัน และการระบายความร้อนของยางทอสอบในห้องทดลองบนล้อเทียม ยางทุกเส้นต้องผ่านมาตรฐานอย่างต่ำ C ค่า C คือผ่านการทดสอบที่ 137 กม/ชม เป็นเวลา 30 นาที B 176 กม/ชม และ A 208 กม./ชม 
ลมยางอ่อนคือศัตรูสำคัญที่สุดของยาง ทั้งในเรื่องอายุการใช้งาน และความปลอดภัย นอกจากการออกแบบของยางแล้ว อายุการใช้งานของยางขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายชนิดโดยตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ ลมยาง สภาพถนน และนิสัยการขับขี่ ของผู้ขับขี่ โดยทั่วไปแล้วยางที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง จะมีอายุการใช้งานได้หลายปี หลายหมื่นกิโลเมตร โดยยางประเภท sport high performance จะมีอายุการใช้งานสั้นกว่า ยางประเภทใช้งานทั้วไปเล็กน้อย ยางเรเดียลมีอายุการใช้งานนานกว่ายางใช้ยางใน และยางเรเดียลเสริมใยเหล็กมีอายุการใช้งานนานกว่ายางเรเดียลผ้าใบ 
2.1 Wear indicator 
จะมีระบุอยู่บนยางทุกเส้น เมื่อดอกยางสึกลงมาถึงระดับ wear indicator นี้แล้ว ต้องเปลี่ยนยางทันทีในบางประเทศผู้ใช้รถถือว่าทำผิดกฎหมาย ถ้ายังไม่เปลี่ยนยางเมื่อสึกถึงระดับ wear indicator 
2.2 ลมยาง 
เติมลมยางไม่ถูกต้องมีผลต่อ สมรรถณะ ความปลอดภัย อายุการใช้งาน และการกินน้ำมันมากผิดปกติของรถ 
ลมยางอ่อนลงอย่างน้อย 1 psi ทุก 1 เดือน   แม้ยางและล้อจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ฉนั้นควรตรวจลมอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง 
ลมยางอ่อนมักมองไม่เห็นความแตกต่างด้วยตาเปล่า ยางที่ลมเหลือ 20 psi จาก 30 psi ดูด้วยสายตาอาจมองไม่เห็นความแตกต่าง ต้องใช้เครื่องมือวัดเท่านั้น 
ลมยางอ่อน ก่อให้เกิดความร้อนสูงขณะขับขี่ด้วนความเร็วสูง ยิ่งอ่อนมากความร้อนยิ่งสูงมาก เป็นสาเหตุของยางระเบิด 
ลมยางอ่อน ส่งผลให้ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางลดลง ก่อให้เกิออันตรายเช่นเดียวกับยางที่บรรทุกน้ำหนักเกินกำหนด 
ลมยางอ่อนทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้จากการศึกษาของผู้ผลิตยางบางรายได้ข้อมูลว่า 
* ลมยางอ่อน 30% จากที่ผู้ผลิตแนะนำเช่นจาก 30 เหลือ 20 psi มีผลทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงประมาณ 30% 
* ลมยางอ่อน 50% จะส่งผลให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงประมาณ 75% 
ห้ามเติมลมยางเกินค่าสูงสุดที่ผู้ผลิตกำหนดโดยเด็ดขาด เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งพบได้บ่อยมากในรถตู้และรถกระบะในประเทศไทย 
การเติมลมยางต้องเติมขณะยางเย็นเท่านั้น ยางเย็นหมายความถึงยางที่ทิ้งไว้หลังจากวิ่งระยะทางไกลมาแล้ว 
ไม่น้อยกว่า1 ชม. หรือ ยางที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำในเมืองไม่เกิน 2 - 3 กม. 
ไม่มีคำแนะนำตายตัวว่าควรจะเติมลมยางเท่าไร ผู้ใช้รถต้องยึดถือตามค่าที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นแนะนำมาเท่านั้น 
ค่าลมยางแนะนำนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จะร่วมมือกับผู้ผลิตยาง แนะนำสำหรับรถแต่ละรุ่นโดยดูจาก น้ำหนักรถ การกระจายน้ำหนัก ประเภทการใช้งาน นิสัยการขับขี่ของลูกค้ารถแต่ละประเภท รวมถึงการชดเชยลักษณะการทรงตัวของรถ แต่ละรุ่นเทียบกับขนาด
และ spec ของยาง โดยต้องไม่ลืมว่าเมื่อบรรทุกหนัก หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงต้องเพิ่มลมยางตามที่ผู้ผลิตแนะนำด้วยทุกครั้ง 
เมื่อเกิดอาการยางอ่อน เนื่องจากรั่วสามารถทำการซ่อมปะได้ แต่ห้ามทำการซ่อมปะยางที่แก้มยาง หรือ ซ่อมปะหน้ายางที่มีแผลรูขนาดใหญ่กว่า 1/2 ซม. 
2.3 สภาพถนน และ นิสัยการขับขี่ 
นิสัยการขับขี่และการเลือกใช้เส้นทางของผู้ใช้รถ มีผลต่ออายุการใช้งานของยางเป็นอย่างมาก เช่นการออกล้อฟรีหรือการเบรค จนล้อล๊อคยางสึกไปหลายกรัมซึ่งเทียบกับการขับปกติได้หลายพันกิโลเมตร 
การขับขี่ที่ความเร็วสูงทำให้ยางสึกมากกว่าการใช้งานที่ความเร็วต่ำ 
ยางที่วิ่งด้วนความเร็ว 110 กม/ชม สึกมากกว่ายางที่วิ่งด้วยความเร็วตาม กฏหมาย 90 กม./ชม ถึงประมาณ 30% 
สภาพพื้นถนนมีผลต่อการสสึกของยาง ถนนคอนกรีตสึกเร็วกว่าถนนลาดยางมะตอย ถนนลูกรังดินแดงทำให้ 
ยางสึกเร็วกว่าถนนยางมะตอย เรียบ ถึง 1 เท่าตัว 
ถนนที่มีสภาพร้อนทำให้ยางสึกเร็วกว่าถนนที่เย็นจากการศึกษาของผู้ผลิตยางบางรายพบว่า 
* ยางวิ่งที่อุณหภูมิอากาศ 40c ยางสึกเร็วกว่าที่อุณหภูมิ 30c ถึงกว่า 25% 
2.4 การสลับยาง 
การสลับยางเป็นสิ่งจำเป็น การสลับยางช่วยให้ยางสึกสม่ำเสมอใก้ลเคียงกันทุกเส้น ช่วยให้ยางแต่ละเส้นในรถคันนั้นมีอายุการใช้งานใก้ลเคียงกัน การสลับยางควรทำตามระยะทางที่กำหนดในคู่มือรถ ถ้าไม่มีกำหนดควรทำทุก 5000 กม. สำหรับรถใช้งานหนัก ขับขี่ความเร็วสูงหรือรถเก่าช่วงล่างไม่ดี หรือทุก 10000 กม. สำหรับรถใช้งานทั่วไป การสลับยางครั้งแรกถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและควรทำที่ 5000 กม. แรก 
- การสลับยางสำหรับรถที่ใช้ยางทั้งสี่ล้อขนาดเท่ากัน ทั้งยางที่ระบุทิศทาง และไม่ระบุทิศทางการวิ่งสลับเป็น ขึ้นลง 
      -การสลับยางสำหรับยางขนาดหน้าหลังไม่เท่ากัน 
 การถ่วงล้อ 
ล้อที่หรือยางที่ไม่สมดุลย์จะทำให้เกิดอาการสั่นที่พวงมาลัย เป็นสาเหุตให้การขับขี่เกิดความเครียด ยางและชิ้นส่วนช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นกว่าปกติ การสั่นอาจเกิดจากสาเหุตอื่นที่ไม่ใช่ยางได้เช่นกัน และอาจเกิดจากยางบวมหรือโครงสร้างผิดปกติ เมื่อเริ่มรู้สึกถึงอาการสั่นให้รีบเช็คถ่วงล้อทันที และต้องมีการถ่วงล้อทุกครั้งเมื่อมีการสลับยาง โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญประจำ MAX สาขาใก้ลบ้านท่านเมื่อเริ่มรู้สึกถึงอาการสั่น 
การตั้งศูนย์ล้อ 
การตั้งศูนย์ล้อคือการปรับค่า TOE (IN, OUT), ค่า แคมเบอร์ (+, -) , ค่ามุมแคสเตอร์ ให้เป็นไปตามที่ผู้ผลิตกาหนด รถที่มีศุนย์ล้อไม่ถูกต้องจะทำให้ยางสึกผิดปกติ และอาจสึกจนดอกหมดได้เร็วมาก ทำให้การตอบสนองจากพวงมาลัยผิดปกติและรถอาจจะวิ่งไม่ตรงทิศทาง ฉนั้นเมื่อเกิดการสึกของยางไม่ผิดปกติ หรือการผิดปกติจากการตอบสนองของพวงมาลัยให้ดำเนินการ นำรถเข้าเช็คศูนย์โดยด่วน การตั้งศูนย์อาจต้องทำ 2 ล้อหน้าหรือทั้ง 4 ล้อแล้วแต่อาการและชนิดของระบบกันสะเทือนรถแต่ละรุ่น โปรดปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งใช้เครื่องมือชั้นเยี่ยมพร้อมใบรายงานผลคอมพิวเตอร์ ให้ลูกค้าทุกราย 
2.6 การเก็บรักษายางอะไหล่ 
ลมยางสำหรับยางอะไหล่ควรจะสูงกว่าค่าแนะนำขั้นสูงของคู่มือรถแต่ละรุ่นประมาณ 4 PSI และปรับลงเมื่อต้องนำมาใช้ควรเช็คลมยางอะไหล่เดือนละครั้ง




















ไม่มีความคิดเห็น: